รมว.แรงงาน ลงพื้นที่เมืองระนอง ! เตรียมเปิดศูนย์แรกรับฯ รองรับการนำเข้า MOU พร้อมตรวจเยี่ยมศูนย์ OSS ต่ออายุแรงงานประมง ม.83 วันแรก

สยามไทยแลนด์ นิวส์ (ทุกทิศ ทั่วไทย ข่าวสารกว้างไกล คุณธรรมนำใจประชาชน)

รมว.แรงงาน ลงพื้นที่เมืองระนอง ! เตรียมเปิดศูนย์แรกรับฯ รองรับการนำเข้า MOU พร้อมตรวจเยี่ยมศูนย์ OSS ต่ออายุแรงงานประมง ม.83 วันแรก

        พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ลงพื้นที่จังหวัดระนอง ตรวจเยี่ยมการปฏิบัติงานศูนย์ PIPO และศูนย์ OSS ต่ออายุใบอนุญาตแรงงานประมง ตามมาตรา 83 เป็นวันแรก พร้อมติดตามความพร้อมการเปิดศูนย์แรกรับเข้าทำงานและสิ้นสุดการจ้างจังหวัดระนอง เพื่อรองรับการนำเข้าแรงงานเมียนมาตาม MOU ระบุมีแรงงานในกิจการประมง จำนวน 4,630 คน เป็นแรงงานไทย 975 คน และแรงงานต่างด้าว 3,655 คน แรงงานต่างด้าวเข้ารับการสแกนม่านตาแล้ว 3,655 คน ขณะที่มีแรงงานประมงตามมาตรา 83 ต่ออายุใบอนุญาตทำงาน จำนวน 124 คน ขาดแคลนแรงงานในภาคประมง จำนวน 1,163 คน
วันนี้ (20 สิงหาคม 2561) พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน พร้อมด้วยนายจรินทร์ จักกะพาก ปลัดกระทรวงแรงงาน นายอนุรักษ์ ทศรัตน์ อธิบดีกรมการจัดหางาน และผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงแรงงาน ลงพื้นที่จังหวัดระนอง ตรวจเยี่ยมการปฏิบัติงานของศูนย์ควบคุมการแจ้งเรือเข้า- ออกเรือประมงจังหวัดระนอง (PIPO) ตรวจสภาพการจ้างแรงงานประมง มาตรการการตรวจสอบ และการดำเนินการสแกนม่านตาแรงงานต่างด้าว พร้อมตรวจเยี่ยมการเปิดศูนย์บริการเบ็ดเสร็จ (OSS) ต่ออายุใบอนุญาตทำงานแรงงานประมงทะเล ตามมาตรา 83 วันแรก และติดตามความพร้อมการเปิดศูนย์แรกรับ
เข้าทำงานและสิ้นสุดการจ้างจังหวัดระนอง เพื่อรองรับการนำเข้าแรงงานเมียนมาตาม MOU หลังบินไปเจรจากับนายเต็งส่วย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ตรวจคนเข้าเมืองและประชากร สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา
พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กล่าวถึงการลงพื้นที่จังหวัดระนองในครั้งนี้ว่า ทุกหน่วยงานทั้งกองทัพเรือ กรมเจ้าท่า กรมประมง กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานและกรมการจัดหางาน ที่ปฏิบัติงาน ณ ศูนย์ควบคุมการแจ้งเรือเข้า-ออกเรือประมงจังหวัดระนอง (PIPO) มีการบริหารจัดการที่ดี สามารถควบคุมดูแลทั้งเรือ คนทำงานและเครื่องมือให้ถูกต้อง โดยจังหวัดระนอง มีแรงงานต่างด้าวจำนวนทั้งสิ้น 42,372 คน เป็นแรงงานฝีมือ 122 คน แรงงานไร้ฝีมือ 42,250 คน แบ่งเป็นกลุ่มนำเข้า MOU 34 คน พิสูจน์สัญชาติ 19,294 คน บัตรชมพู 16,646 คน ชนกลุ่มน้อย 621 คน ไป-กลับหรือตามฤดูกาล 5,655 คน โดยเป็นแรงงานในกิจการประมงทะเล จำนวน 4,630 คน เป็นแรงงานไทย จำนวน 975 คน และแรงงานต่างด้าว จำนวน 3,655 คน (ลาว 7 คน กัมพูชา 4 คน เมียนมา 3,599 คน และชนกลุ่มน้อย 45 คน) นายจ้างในกิจการประมงทะเล จำนวน 236 คน มีแรงงานที่ผ่านการสแกนม่านตาแล้ว 3,655 คน
รัฐบาลได้ให้ความสำคัญกับการแก้ไขปัญหาการขาดแคลนแรงงานประมงทะเล โดยเปิดต่ออายุแรงงานต่างด้าวที่ได้รับอนุญาตทำงานตามมาตรา 83 แห่งพระราชกำหนดการประมง พ.ศ.2558 ที่ผ่านการพิสูจน์สัญชาติแล้วออกไปอีกเป็นเวลา 2 ปี ถึงวันที่ 30 กันยายน 2563 ซึ่งจะอนุญาตให้คราวละ 1 ปี ตามที่แรงงานต่างด้าวได้รับอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักร เริ่มตั้งแต่วันที่ 20 สิงหาคม - 30 กันยายน 2561 ณ ศูนย์บริการเบ็ดเสร็จ (One Stop Service) สำนักงานจัดหางานจังหวัด 22 จังหวัดติดชายทะเล หรือสถานที่ที่เหมาะสมในแต่ละจังหวัด ภายในศูนย์ OSS ประกอบด้วยตรวจคนเข้าเมืองทำหน้าที่ตรวจลงตรา (VISA) กรมการจัดหางานออกใบอนุญาตทำงาน (WORK PERMIT) และกรมประมงออกหนังสือคนประจำเรือสำหรับคนต่างด้าว (SEABOOK) โดยในส่วนของศูนย์ OSS จังหวัดระนองนั้น ศูนย์ OSS ตั้งอยู่บริเวณสมาคมประมงระนอง หมู่ที่ 1 ตำบลปากน้ำ อำเภอเมือง จังหวัดระนอง มีแรงงานต่างด้าวที่ได้รับอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักร และได้รับอนุญาตทำงานตามมาตรา 83 แห่งพระราชกำหนดการประมง พ.ศ. 2558 ที่พิสูจน์สัญชาติแล้ว ซึ่งต้องมาต่ออายุใบอนุญาตทำงานที่ศูนย์ OSS ในครั้งนี้จำนวน 124 คน ทั้งนี้ จังหวัดระนองยังขาดแคลนแรงงานประมงทะเลอีกจำนวน 1,163 คน นายจ้าง 60 ราย
รมว.แรงงาน กล่าวต่อว่า จากการเดินทางไปสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาเพื่อหารือร่วมกับนายเต็งส่วย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ตรวจคนเข้าเมืองและประชากร สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมานั้น ฝ่ายเมียนมาเห็นชอบให้มีการนำเข้าแรงงานเมียนมาตามระบบ MOU ซึ่งศูนย์แรกรับเข้าทำงานและสิ้นสุดการจ้างจะเป็นศูนย์ที่รองรับแรงงานต่างด้าวที่เข้ามาทำงานอยู่ในประเทศไทยตามระบบ MOU โดยเป็นสถานที่อบรมให้ความรู้ด้านต่างๆ แก่แรงงานต่างด้าว เช่น การทำงาน กฎหมายต่าง ๆ การใช้ชีวิตอยู่ในประเทศไทย เป็นต้น ตรวจสอบและคัดกรองแรงงานต่างด้าวว่ามีนายจ้างจริงตรงตามสัญญาจ้าง และมีความพร้อมที่จะทำงานก่อนอนุญาตให้เข้ามาทำงานในประเทศไทย รวมทั้งประสานงานให้ความช่วยเหลือ และอำนวยความสะดวกแก่นายจ้างและแรงงานต่างด้าวเกี่ยวกับการดำเนินการให้เป็นไปตามสัญญาจ้าง ซึ่งศูนย์แรกรับฯ จังหวัดระนอง ตั้งอยู่เลขที่ 89/227 หมู่ 1 ตำบลปากน้ำ อำเภอเมือง จังหวัดระนอง สามารถรองรับการให้บริการแรงงานต่างด้าวในการอบรม และออกใบอนุญาตทำงานแบบอิเล็กทรอนิกส์ (E-WORKPERMIT) ประมาณ 1,200 คนต่อวัน บนเนื้อที่ประมาณ 3 ไร่เศษ อยู่ใกล้ท่าเทียบเรือที่แรงงานต่างด้าวสัญชาติเมียนมาใช้ในการเดินทางระหว่างจังหวัดเกาะสอง สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา และจังหวัดระนอง ประเทศไทย ประมาณ 1.5 กิโลเมตร ทั้งนี้ ขอย้ำเตือนให้นายจ้างรีบพาแรงงานต่างด้าวมาดำเนินการตามวัน เวลาที่กำหนด เพื่อแรงงานจะได้อยู่และทำงานในประเทศไทยต่อไปได้ ทั้งยังได้รับสิทธิประโยชน์และการคุ้มครองตามกฎหมายต่อไป




ภาพ/ข่าว : รัตน์ ไบร์ท 20
เกรียงไกร อนุรักษ์เจริญพร
บก.สยามไทยแลนด์ นิวส์
(ทุกทิศ ทั่วไทย ข่าวสารกว้างไกล คุณธรรมนำใจประชาชน)






-------------------------------------
เว็ปไซต์นี้จดทะเบียนอิเล็กทรอนิกส์กับกรมพัฒนาธุรกิจการค้าทะเบียนพาณิชย์

-----------------------------------------------------

บุรีรัมย์-ลุงก่อสร้างวัย 53 ถูกสวมชื่อมีรายได้เกือบ 2 ล้าน สรรพากรบี้เก็บภาษี

สยามไทยแลนด์ นิวส์ (ทุกทิศ ทั่วไทย ข่าวสารกว้างไกล คุณธรรมนำใจประชาชน)

บุรีรัมย์-ลุงก่อสร้างวัย 53 ถูกสวมชื่อมีรายได้เกือบ 2 ล้าน สรรพากรบี้เก็บภาษี

               ครอบครัวชายวัย 53 เดือดร้อนหนัก หลังเจ้าหน้าที่สรรพากร ตามถึงบ้านให้ชำระภาษีเงินได้ เนื่องจากมีเงินหมุนเวียนปีละกว่าล้านบาท เป็นงงทั้งบ้านเพราะมีอาชีพรับจ้าง ติดต่ออดีตบริษัทที่เคยทำงานยอมรับผิดจะจ่ายภาษีแทนให้ วอนช่วยเหลือทั้งครอบครัวทำบัตรคนจนไม่เคยผ่านเจ้าหน้าที่ระบุมีเงินเยอะแล้ว
วันที่ 20 ส.ค.61 เรื่องดังกล่าวถูกเปิดเผย หลังจากเพจ”แจ้งข่าวชาวบุรีรัมย์”ได้รับการร้องเรียนจากชาวบ้านหมู่ 7 ต.ปังกู อ.ประโคนชัย จ.บุรีรัมย์ ว่าครอบครัวได้รับความเดือดร้อน มีเจ้าหน้าที่ของสรรพากรพื้นที่ประโคนชัย มาพบที่บ้านว่าให้ไปยืนแบบภาษี เนื่องจากมีรายได้มากกว่าปีละ 1 ล้านบาท ทั้งที่มีอาชีพรับจ้างมีฐานะยากจน
เมื่อเข้าไปตรวจสอบที่บ้านเลขที่ 287 หมู่ 7 ต.ปังกู พบนายเลียบ เมียดเตียบ อายุ 53 ปี พร้อมครอบครัว เพิ่งเดินทางมาจากการทำงานก่อสร้างที่ จ.นครปฐม เพื่อจะมาพบสรรพกรในพื้นที่ประโคนชัย
สอบถาม น.ส.ปภาวรินทร์ เมียดเตียบ อายุ 28 ปี ลูกสาวนายเลียบ เล่าว่า เมื่ออาทิตย์ที่ผ่านมา ได้มีเจ้าหน้าที่สรรพากรพื้นที่ อ.ประโคนชัย มาที่บ้านถามหาพ่อ จึงบอกไปว่าพ่อทำงานก่อสร้างที่ จ.นครปฐม
จากนั้นเจ้าหน้าที่ได้เอาหลักฐานเป็นกระดาษรายงานระบบสรรพากร ระบุชื่อนายเลียบ เมียดเตียบ ว่ามีเงินรายได้ปีละกว่า 1,600,000 บาท ตั้งแต่ปี 2559 เป็นต้นมา ทำให้ครอบครัวตกใจ จึงโทรศัพท์ให้พ่อซึ่งทำงานก่อสร้างที่ จ.นครปฐม กลับบ้านด่วน เพราะเกรงว่าจะโดนคดีอาญาเนื่องจากไม่เสียภาษีตามกฎหมาย
จากนั้นได้โทรศัพท์ไปหาบริษัท”มายทรานสปอร์ต จำกัด”ซึ่งเป็นบริษัทที่สรรพากรระบุว่าพ่อของตนมีรายได้เป็นค่าขนส่งจากบริษัทนี้ โดยพนักงานบริษัทอ้างว่าเป็นความผิดพลาดทางบัญชี ตนจึงถามไปว่า”เป็นไปไม่ได้ เพราะมีหลักฐานมาตั้งแต่ปี 2559 จนถึงปัจจุบัน”
ต่อมาบริษัทยอมรับว่าบริษัทได้เอาชื่อพ่อของตนเข้าไปเป็นผู้มีรายได้จากบริษัทจริง พร้อมจะชดใช้ค่าภาษีที่จะต้องจ่ายให้ แต่ขอร้องไม่ให้ไปแจ้งความกับตำรวจ ตนคิดว่าการกระทำของบริษัทไม่ถูกต้อง เพราะส่งผลกระทบกับครอบครัวโดยตรงหลายด้าน และยังไม่ทราบว่าภายหน้าต่อไปจะโดนอะไรอีก
ด้านนายเลียบ เมียดเตียบ เล่าว่า เมื่อปี 2559 ตนได้ไปทำงานให้กับบริษัท”มายทรานสปอร์ต”อยู่ที่ จ.สมุทรปราการ ใช้หลักฐานมีบัตรประจำตัวประชาชน ,สำเนาทะเบียนบ้านและใบอนุญาตขับขี่ เป็นหลักฐานตอนสมัครงาน มีหน้าที่ขับรถรับจ้างขนส่งเป็นเที่ยว รวมมีรายได้จากบริษัทนี้ประมาณ 10,000-12,000 บาทต่อเดือน โดยรับเงินค่าจ้างจากบริษัทเป็นเงินสดไม่ได้ผ่านบัญชี
ตนทำงานได้ประมาณ 2 เดือนก็ลาออกไปหาทำงานอื่น จนกระทั่งลูกสาวโทรไปบอกว่าไม่ได้ยื่นแบบภาษีให้กับสรรพากรพื้นที่ เพราะตนมีเงินรายได้ปีละกว่า 1,600,000 บาท จึงรีบกลับบ้านเพื่อจะเข้ามาชี้แจงความจริงกับสรรพากร ว่า ตนหาเช้ากินค่ำมีรายได้เพียงวันละ 300-400 บาทเท่านั้นและไม่เคยไปทำธุรกรรมใดๆ
นายเลียบ ยังบอกด้วยว่า ที่ผ่านมาตนกับภรรยา เคยไปยื่นขอทำบัตรคนจนตามโครงการของรัฐบาล แต่กลับถูกเจ้าหน้าที่บอกว่า”ลุงไม่ผ่านเพราะรวยแล้ว มีรายได้มากแล้ว”ตนรู้สึกแปลกใจว่าคนอื่นที่มีฐานะมากกว่าตน ยังทำบัตรคนจนได้ แต่ตนกลับไม่ได้ จนกระทั่งมาทราบตอนนี้ถึงสาเหตุที่ทำบัตรคนจนไม่ได้
ตอนนี้ครอบครัวเดือดร้อนอย่างหนัก นอกจากจะหวาดผวาว่าจะโดนความผิดแล้ว ครอบครัวยังเสียโอกาสที่จะได้รับสวัสดิการจากภาครัฐตามที่ควรจะได้ จึงอยากจะเรียกร้องให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เข้ามาช่วยเหลือและแก้ไขปัญหาให้กับตนและครอบครัวที่ได้รับผลกระทบจากนายทุนที่เห็นแก่ตัวเอาชื่อของตนไปทำอย่างอื่นโดยที่ตนไม่รู้เห็นด้วย/////////////




ภาพ/ข่าว ธีรยุทธ์ ชำนาญกอง/วันชัย ผิวอร่าม จ.บุรีรัมย์
เกรียงไกร อนุรักษ์เจริญพร
บก.สยามไทยแลนด์ นิวส์
(ทุกทิศ ทั่วไทย ข่าวสารกว้างไกล คุณธรรมนำใจประชาชน)






-------------------------------------
เว็ปไซต์นี้จดทะเบียนอิเล็กทรอนิกส์กับกรมพัฒนาธุรกิจการค้าทะเบียนพาณิชย์

-----------------------------------------------------

บุรีรัมย์-หลวงพี่ผงะ!!พบศพลอยขึ้นอึดกลางสระน้ำติดวัด

สยามไทยแลนด์ นิวส์ (ทุกทิศ ทั่วไทย ข่าวสารกว้างไกล คุณธรรมนำใจประชาชน)

บุรีรัมย์-หลวงพี่ผงะ!!พบศพลอยขึ้นอึดกลางสระน้ำติดวัด

         กลิ่นแปลกโชย 3 วัน พระลูกวัดสงสัยตามกลิ่น พบศพชายลอยขึ้นอืดกลางสระน้ำสาธารณะติดวัด ตรวจสอบคาดเป็นชายที่เคยมาอาศัยขอข้าวกินอยู่ในวัด และเคยรับยารักษาอาการทางจิตเวช เนื่องจากการเกิดอุบัติเหตุหลังจากหายไปนาน 4 วัน 
วันที่ 19 ส.ค. 2561 พ.ต.ท.ไชยา สะสม สารวัตร(สอบสวน) สภ.เมือง ได้รับแจ้งจากพระวัดประชาสามัคคีบ้านฝ้าย ต.สวายจีก อ.เมือง จ.บุรีรัมย์ ว่าพบศพชายลอยขึ้นอืดเหนือผิวน้ำในสระข้างวัด จึงรุดไปตรวจสอบพร้อมหน่วยกู้ภัยสว่างจรรยาธรรม
ที่เกิดเหตุเป็นสระจ้ำสาธารณะบริเวณปากทางเข้าวัด ถนนระหว่างสวายจีก-ห้วยราช พบชาวบ้านออกมามุงดูกันเป็นจำนวนมาก บริเวณสระน้ำ พบศพชายไม่ทราบชื่อลอยอยู่ในสระน้ำ ลักษณะนุ่งกางเกงวอมสี่น้ำเงิน ไม่สวมเสื้อ สภาพศพเน่าเปื่อย คาดว่าเสียชีวิตไม่ต่ำกว่า 4-5 วัน
จากการสอบถามพระสำเริง อาภัตสโร อายุ 41 ปี บอกว่า ตอนเช้า ได้ทำการกวาดบริเวณลานวัดตามปกติ และได้กลิ่นผิดปกติซึ่งเป็นกลิ่นรุนแรงกว่าสองวันที่ผ่านมา จึงเดินตามกลิ่นไป จนกระทั่งพบศพลอยอยู่กลางสระน้ำ ก่อนจะแจ้งไปทางผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านเพื่อประสานไปทาง สภ.เมืองบุรีรัมย์ มาตรวจสอบ
จากการสอบถามนางนงเยาว์รัตนสุข อยู่บ้านเลขที่ 76 หมู่ 10 บ้านฝ้าย ตำบลสวายจีก อำเภอเมือง จังหวัดบุรีรัมย์ เป็นประธาน อสม.ประจำหมู่บ้าน บอกว่าศพดังกล่าวน่าจะเป็นศพของนายวิเชียร สุทธิ อายุประมาณ 36 ปี เพราะว่าตนเองเป็นผู้ดูแล เคยจ่ายยาให้ เพราะว่าไม่มีคนดูแล เนื่องจากเคยประสบอุบัติเหตุ และมีความผิดบกพร่องและเป็นผู้ป่วยจิตเวช
และมารับที่บ้านตนครั้งสุดท้ายเมื่อเย็นวันพฤหัส แล้วหายตัวไปประมาณ 3-4 วัน ตนเองคิดว่านายวิเชียร น่าจะใช้ชีวิตอาศัยอยู่ในวัด ช่วยเหลืองานที่วัด และกินข้าวภายในวัดเหมือนที่ผ่านมา อย่างไรก็ตามทั้งหน้าเจ้าหน้าที่ตำรวจ จะได้นำศพ เพื่อส่งโรงพยาบาลศูนย์บุรีรัมย์ ทำการชันสูตร ศพดังกล่าว และจะได้มอบหมายให้ญาติพี่น้อง เพื่อนำไปบำเพ็ญกุศลตามประเพณีต่อไป///////






ภาพ/ข่าว ธีรยุทธ์ ชำนาญกอง/วันชัย ผิวอร่าม จ.บุรีรัมย์
เกรียงไกร อนุรักษ์เจริญพร
บก.สยามไทยแลนด์ นิวส์
(ทุกทิศ ทั่วไทย ข่าวสารกว้างไกล คุณธรรมนำใจประชาชน)






-------------------------------------
เว็ปไซต์นี้จดทะเบียนอิเล็กทรอนิกส์กับกรมพัฒนาธุรกิจการค้าทะเบียนพาณิชย์

-----------------------------------------------------